ต้นไม้ประจำจังหวัดภาคอีสาน

ต้นไม้ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์
ต้นมะหาด

ชื่อทั่วไป  -  มะหาด
ชื่อสามัญ -  Lok Hat
ชื่อวิทยาศาสตร์  -  Artoccarpus lacucha  Roxb.
วงศ์  -   Moraceae
ชื่ออื่นๆ -  หาด  ปาแต หาดหนุน,กาแย ,ตาแปง ,  มะหาดใบใหญ่ 
ถิ่นกำเนิด -  ป่าดงดินทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ของไทย
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
- ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลคล้ำแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ เรือนยอดเป็นพุ่ม ทึบ
- ใบ เดี่ยว เรียงสลับ ขอบใบรูปขอบขนาน รูปรี ถึงรูปไข่ กว้าง 5-20 เซนติเมตร ยาว 10-30 เซนติเมตร ผิวใบมีขนสากทั้งสองด้าน ขอบใบแก่เรียบหรือเป็นคลื่นบางๆ
- ดอก เล็ก สีขาวอมเหลือง ออกรวมเป็นแท่งกลมขนาดเล็กตามง่ามใบปลายกิ่ง จะออกดอกช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนเป็นผลเดือน มีนาคม - พฤษภาคม
- ผล รวมรูปทรงกลมบุบเบี้ยว ผลสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-10 เซนติเมตร

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด หรือตอนกิ่งก็ได้
สภาพที่เหมาะสม -  เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ทนแล้งขึ้นประปรายตามป่าดิบทั่วไป
ประโยชน์ -  เนื้อไม้ หยาบ แข็ง เหนียว ทนทานมาก ใช้ในการก่อสร้างได้  ใช้ทำเครื่องดนตรี  เปลือก ทำเชือก ราก ให้สีเหลืองใช้ย้อมผ้า และใช้เป็นยาแก้ไข้ และยาขับพยาธิ
ต้นไม้ประจำจังหวัดขอนแก่น
ต้นกัลปพฤกษ์

ชื่อทั่วไป  -  กัลปพฤกษ์
ชื่อสามัญ -  Pink Cassia, Pink Shower, Wishing Tree
ชื่อวิทยาศาสตร์  -  Cassia bakeriana Craib
วงศ์  -  LEGUMINOSAE
ชื่ออื่นๆ -  กานล์,กัลปพฤกษ์ , เปลือกขม 
ถิ่นกำเนิด -  อเมริกาใต้ และตามป่าเบญจพรรณทั่วไป
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
- ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 5 - 10 เมตร  เปลือกสีเทา กิ่งอ่อน ใบอ่อน และช่อดอกมีขนนุ่ม
- ใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ มีใบย่อย 5-6 คู่ แผ่นใบรูปใบหอกกลับแกมรูปขอบขนาน กว้าง 1.5- 3 เซนติเมตร 
-  ดอก เริ่มบาน สีชมพู  เมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีขาว ออกเป็นช่อ ยาว 5- 12 เซนติเมตร ตามง่ามใบและกิ่งก้าน ออกดอกในเดือนเมษายน
-  ผล เป็นฝักรูปทรงกระบอก ยาว 30-40 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร
-  เมล็ด  มีจำนวนมาก ประมาณ 30-50 เมล็ด สีน้ำตาลเป็นมัน มีรูปร่างกลมแบบสีน้ำตาล

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด หรือตอนกิ่งก็ได้
สภาพที่เหมาะสม -  เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด แสงแดดจัด  ขึ้นในป่าเบญจพรรณแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกของไทย
ประโยชน์ -  เนื้อในฝัก ใช้เป็นยาระบายอ่อนๆได้  เปลือก ทำให้อาเจียน แก้ไข้ เนื้อในฝัก เป็นยาระบาย เมล็ด ทำให้อาเจียน แก้พิษไข้ เนื้อไม้และเปลือก มีสารฝาด ใช้ฟอกหนัง
ต้นไม้ประจำจังหวัดชัยภูมิ
ต้นขี้เหล็กบ้าน

ชื่อทั่วไป  -  ขี้เหล็กบ้าน
ชื่อสามัญ -  Thai Copper Pod
ชื่อวิทยาศาสตร์  -  Senna siamea  ( Lam.) Irwin & Barneby
วงศ์  -  LEGUMINOSAE
ชื่ออื่นๆ -  ขี้เหล็กหลวง ,ขี้เหล็กแก่น  ขี้เหล็กหลวง  ขี้เหล็กใหญ่  ยะหา, ขี้เหล็กบ้าน,ผักจีลี้ , มะขี้เหละพะโดะ , ยะหา 
ถิ่นกำเนิด -  ถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
- ไม้ต้น สูง 8- 15 เมตร เปลือกสีเทาอมน้ำตาล แตกตามยาวเป็นร่อง
- ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ มีใบย่อย 7-10 คู่ แผ่นใบย่อยรูปขอบขนาน กว้าง 1-105 เซนติเมตร ยาว 3-7 เซนติเมตร ด้านล่างมีขนสั้น
- ดอก สีเหลือง ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาว 20-30 เซนติเมตร
- ผล เป็น ฝัก แบน สีน้ำตาล กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 20-30 เซนติเมตร เมล็ด มี 20-30 เมล็ด
- เมล็ด  รูปไข่มี 20-30 เมล็ดใน 1 ฝัก เรียงตามขวางของผล

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด หรือตอนกิ่งก็ได้
สภาพที่เหมาะสม -  ดินทุกชนิด ทนแล้ง ต้องการน้ำปานกลาพบขึ้นทั่วไปในทวีปเอเซียเขตศูนย์สูตร ในไทยพบทุกภาค
ประโยชน์ -  ราก แก้ไข้ แก้ชัก ต้น แก้โรคผิวหนัง เป็นยาระบาย เปลือกต้น แก้ริดสีดวง กระพี้ แก้ไข้ บำรุงโลหิต แก่น แก้กามโรค ขับน้ำคาวปลา ใบ ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ แก้บิด แก้นิ่ว ดอก ช่วยให้นอนหลับ แก้หืด เป็นยาระบาย ฝัก ลดไข้ ยอด แก้โรคเบาหวาน ด่างไม้ แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ
ต้นไม้ประจำจังหวัดนครพนม
ต้นกันเกรา
 
ชื่อทั่วไป  -  กันเกรา
ชื่อสามัญ -  Anon, Tembusu
ชื่อวิทยาศาสตร์  -  Fagraea Fragrans  Roxb.
วงศ์  -  Potaliaceae
ชื่ออื่นๆ -  กันเกรา มันปลา  ตำเสา  ทำเสา, ตะมะซู ตำมูซู , ตาเตรา 
ถิ่นกำเนิด -  ป่าเบญจพรรณ และตามที่ใกล้แหล่งน้ำแทบทุกภาคของ
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
-  ไม้ต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้มแตกเป็นร่องลึก
-  ใบ เดี่ยว ออกตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 2.5-3.5 เซนติเมตร ยาว 8-11 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน
-  ดอก สีขาวครีมแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลิ่นหอม เมษายน - มิถุนายน เป็นผล มิถุนายน - กรกฎาคม
-  ผล กลมเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 มิลลิเมตร สีส้มแก่ สีแดงเลือดนก เมล็ดเล็ก มีจำนวนมาก

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด 
สภาพที่เหมาะสม -  สภาพดินแทบทุกชนิด แสงแดดจัด   ขึ้นได้ทั่วไปในป่าเบญจพรรณชื้น และตามที่ต่ำที่ชื้นแฉะใกล้น้ำ พบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ 
ประโยชน์ -  เนื้อไม้ สีเหลืองอ่อน เสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เหนียว แข็ง ทนทาน ใช้ในการก่อสร้าง แก่น มีรสฝาด ใช้เข้าบำรุงธาตุแน่นหน้าอก  เปลือก ใช้บำรุงโลหิต ผิวหนังพุพอง ปลูกเป็นไม้ประดับ

ดอกสาธร
ดอกไม้ประจำจังหวัดนครราชสีมา

ดอกไม้ประจำจังหวัดนครราชสีมา-ดอกสาธร ชื่อทั่วไป  -  สาธร
ชื่อวิทยาศาสตร์  -  Millettia leucantha  Kurz var.  buteoides  (Gagnep.) P.K.Loc
วงศ์  -  Leguminosae
ชื่ออื่นๆ -  กระเจ๊าะ , ขะเจ๊าะ, กระพีเขาควาย , กะเชาะ , ขะแมบ คำแมบ 
ถิ่นกำเนิด -  ป่าเบญจพรรณใกล้แหล่งน้ำทั่วไป
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
-  ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 18-20 เมตร เปลือกสีเทา เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ
-  ใบอ่อนและยอดอ่อนมีขนยาว ใบ ประกอบแบบขนนกปลายเดี่ยว เรียงสลับ ใบย่อยติดเป็นคู่ตรงกันข้าม 3-5 คู่ แผ่นใบย่อยรูปรี กว้าง 3.5-5 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน
-  ดอก สีขาว รูปดอกถั่วสีชมพูอ่อน ออกเป็นช่อตามง่ามใบและปลายกิ่ง มีนาคม - พฤษภาคม ฝักแก่ พฤษภาคม - สิงหาคม
-  ผล  เป็น ฝัก แบน กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 4-10 เซนติเมตร (แบนคล้ายฝักมีด)
-   เมล็ด รูปโล่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.3 เซนติเมตร

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด 
สภาพที่เหมาะสม -  สภาพดินร่วน แสงแดดจัด ต้องการน้ำและความชื้นมาก  พบขึ้นในป่าเบญจพรรณใกล้แหล่งน้ำทั่วๆ ไป
ประโยชน์ -  เนื้อไม้ ใช้ในการก่อสร้างและเครื่องเรือน

ต้นไม้ประจำจังหวัดบุรีรัมย์
ต้นกาฬพฤกษ์

ชื่อทั่วไป  -  กาฬพฤกษ์
ชื่อสามัญ -  Pink Shower, Horse Cassia
ชื่อวิทยาศาสตร์  - Cassia grandis L.f.
วงศ์  -  Leguminosae
ชื่ออื่นๆ -  กัลปพฤกษ์ ,ชัยพฤกษ์
ถิ่นกำเนิด -  ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
- ไม้ต้น ผลัดใบ สูงถึง 20 เมตร โคนมีพูพอน เปลือกสีดำ แตกเป็นร่องลึก กิ่งอ่อนหรือช่อดอกมีขนสีน้ำตาล
-  ใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยมี 10-20 คู่ ใบอ่อนสีแดง แผ่นใบย่อยรูปขอบขนาน กว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 3-5 เซนติเมตร  ด้านบนเป็นมัน ด้านล่างมีขน
-  ดอก เริ่มบานสีแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพูตามลำดับ ออกดอกระหว่างเดือนกุมภาพันธุ์ – เมษายน
-  ผล เป็นฝักรูปทรงกระบอก กว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยาว 20-40 เซนติเมตร
-  เมล็ด มี 20-40 เมล็ด

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด 
สภาพที่เหมาะสม -  สภาพดินทุกชนิด ทนแล้งได้ดี ชอบความชื้นน้อย   
ประโยชน์ -  ปลูกเป็นไม้ประดับ  ฝักเนื้อใน   ใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ

ดอกลั่นทมขาว (จำปาขาว)
ดอกไม้ประจำจังหวัดมหาสารคาม

ดอกไม้ประจำจังหวัดมหาสารคาม-ดอกลั่นทมขาวชื่อทั่วไป  -  พฤกษ์ ชื่อสามัญ -  Indian Walnut
ชื่อวิทยาศาสตร์  -  Albizia lebbeck  (L.) Benth.
วงศ์  - Leguminosae
ชื่ออื่นๆ -  ก้ามปู ชุงรุ้ง , กะซึก , กาแซ กาไพ แกร๊ะ , ก้านฮุ้ง , กรีด , คะโก , จเร , จ๊าขาม, จามจุรี ซึก , ตุ๊ด ถ่อนนา , ทิตา , พญากะบุก , มะขามโคก มะรุมป่า , ชุ้งรุ้ง มะรุมป่า , กระพี้เขาควาย 
ถิ่นกำเนิด -   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคเหนือและภาคกลางของไทย
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
-  ไม้ต้น ผลัดใบสูง 15 – 25 เมตร เปลือกสีเทาเข้มหรือน้ำตาลอมเหลือง ขรุขระ เปลือกในสีแสด
-  ใบ ประกอบแบบขนนก 2 ชั้น เรียงสลับ มีก้านแขนงออกตรงข้ามกัน 4 – 9 คู่ แผ่นใบย่อมเล็กรูปขอบขนาน เบี้ยวกว้าง 1 – 2.5 เซนติเมตร ยาว 2 – 4 เซนติเมตร ดอกเล็กสีขาวกลื่นหอมออกเป็นกลุ่มกลมที่ปลายก้าน ช่อฝักรูปขอบขนานแบนและบาง กว้าง 2 – 5 เซนติเมตร ยาว 10 –30 เซนติเมตร เมื่อแห้งสีฟางข้าว เมล็ด มี  4 – 10 เมล็ด
-  ออกดอกในเดือนมีนาคม – เมษายน    
-  เป็นฝัก กันยายน – ธันวาคม

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด 
สภาพที่เหมาะสม -  สภาพดินที่เสื่อมโทรม เป็นไม้โตเร็ว: ขึ้นได้ดีในพื้นที่เสื่อมโทรม เป็นไม้เบิกนำที่ดี
ประโยชน์ -  เนื้อไม้ใช้ทำสิ่งปลูกสร้าง เครื่องมือทางการเกษตร  เปลือก ให้น้ำฝาดใช้กอกหนัง เปลือก มีรสฝาดใช้รักษาแผลในปาก ลำคอ เหงือก เมล็ด รักษาโรคผิวหนัง ใบ ใช้ดับพิษร้อนทำให้เย็น  
ต้นไม้ประจำจังหวัดมุกดาหาร
ต้นช้างน้าว
ชื่อทั่วไป  -  ช้างน้าว
ชื่อวิทยาศาสตร์  - Ochna integerrima  (Lour.) Merr.
วงศ์  -  OCHNACEAE
ชื่ออื่นๆ -  กระแจะ, ช้างโน้ม  ช้างโหม  กำลังช้างสาร  ขมิ้นพระต้น  ตาลเหลือง, แง่ง , ช้างน้าว ตานนกกรด ,  ตาชีบ้าง , ตาลเหลือง, ฝิ่น, โว้โร้ 
ถิ่นกำเนิด -  ถิ่นกำเนินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
-  ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 3 – 8 เมตร ตามปลายกิ่งมีกาบหุ้มตาแข็งและแหลม
-  ใบ เดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับหรือรูปใบหอกกลับ กว้าง 4 – 7 เซนติเมตร ยาว 8 – 20 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลมโคนมนขอบใบจักถี่
-  ดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อสั้นตามกิ่ง เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 – 4 เซนติเมตร ออกดอกช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม
-  ผล กลม เมื่อสุกสีดำ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ติดอยู่บนฐานรองดอกสีแดง

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด และปักชำกิ่ง
สภาพที่เหมาะสม -  สภาพดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง
ประโยชน์ -  รากใช้ขับพยาธิ แก้น้ำเหลืองเสีย ปลูกเป็นไม้ประดับ 
ต้นไม้ประจำจังหวัดยโสธร
ต้นกระบาก

ชื่อทั่วไป  - กระบาก
ชื่อวิทยาศาสตร์  - Anisoptera costata  Korth.
วงศ์  -  Dipterocarpaceae
ชื่ออื่นๆ -  กระบากขาว  กระบากโคก  กระบากดำ  กระบากช่อ  ตะบาก , กระบากด้าง , กระบากแดง , ชอวาตาผ่อ , บาก , ประดิก, พนอง, หมีดังว่า 
ถิ่นกำเนิด -  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
- ไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 30 – 40 เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่ม กลม เปลือกสีน้ำตาลเทา แตกเป็นร่องตามยาวของลำต้น เปลือกในสีเหลืองอ่อน เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ
- ใบ  เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปขอบขนานหลังใบมีขนสีเหลืองกว้าง 3 – 8 เซนติเมตร ยาว 6 – 16 เซนติเมตร ปลายใบคู่ โคนใบมน ผิวใบด้านล่างมีขน
- ดอกเล็ก สีขาวปนเหลืองอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง  ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์และจะเป็นผล กุมภาพันธ์ – เมษายน
- ผล กลมผิวเรียบ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร มีปีกยาว 2 ปีก

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด 
สภาพที่เหมาะสม - สภาพดินทุกชนิด กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง มีมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้
ประโยชน์
- เนื้อไม้ สีน้ำตาลปนเหลือง เนื้อหยาบ ใช้ทำเป็นไม้แบบ  ลังใส่ของ
-  ชัน ใช้ผสมน้ำมันทาไม้ น้ำมันชักเงา ยา แนวไม้และเรือ 

ต้นไม้ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด
ต้นกระบก
 
ชื่อทั่วไป  - กระบก
ชื่อสามัญ -  Kayu
ชื่อวิทยาศาสตร์  - rvingia malayana  Oliv. ex A.W. Benn.
วงศ์  -  SIMAROUBACEAE
ชื่ออื่นๆ - จะบก, ตระบก, หมากบก, มื่น, มะลื่น, หมักลื่น ,กระบก, กะบก, จำเมาะ , ชะอัง , บก , มะมื่น , หลักกาย
ถิ่นกำเนิด -  ตามป่าเบญจพรรณแล้งและป่าดิบ
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
- ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูง 10 – 30 เมตร ผลัดใบ เปลือกสีเทาอ่อนปนน้ำตาล ค่อนข้างเรียบบางทีแตกเป็นสะเก็ด เรือนยอดเป็นพุ่มแน่นทึบ
-  ใบ เดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปมนแกมรูปขอบขนานถึงรูปใบหอก กว้าง 2 – 9 เซนติเมตรยาว 8 – 20 เซนติเมตรผิวใบเกลี้ยง โคนใบมน ปลายใบทู่ถึงแหลม
-   ดอกเล็ก สีขาวปนเขียวอ่อน  ออกดอกช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม
-   ผลกลมรี เมื่อสุกสีเหลืออมเขียว เมล็ดแข็ง เนื้อในมีรสมัน

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด 
สภาพที่เหมาะสม - สภาพดินทุกชนิด กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง   ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ แล้งและป่าดิบแล้งทั่วไป สูงจากระดับน้ำทะเล 150 – 300 เมตร
ประโยชน์ - เนื้อไม้ใช้เผาถ่านได้ถ่านดีให้ความร้อนสูง เนื้อไม้เสี้ยนตรงแข็งมาก ไม่ทนในที่แจ้ง ใช้ทำอาหาร สบู่เทียนไข ผลสุก เป็นอาหารพวกเก้ง กวางและนก 
ต้นไม้ประจำจังหวัดเลย
ต้นสนสามใบ
 
ชื่อทั่วไป  -    สนสามใบ
ชื่อสามัญ -  Kesiya pine, Khasiya pine
ชื่อวิทยาศาสตร์  -  Pinus kesiya Royle ex Gordon
วงศ์  -  Pinaceae
ชื่ออื่นๆ - เกี๊ยะเปลือกแดง  เกี๊ยะเปลือกบาง  จ๋วง  สนเขา,, เชี้ยงบั้ง, แปก, สนสามใบ สนเกี๊ยะ
ถิ่นกำเนิด - ประเทศพม่า
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
- ไม้ต้น สูง 30 –40 เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่ม กลม เปลือกสีน้ำตาลอมชมพูอ่อน แตกสะเก็ดขนาดใหญ่ มักมียางสีเหลืองซึมออกมาตามรอยแยก
- ใบ เดี่ยว ติดเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 ใบ รูปเข็ม ยาว 10 – 25 เซนติเมตร
- ดอก แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม
- ผล ออกรวมกันเป็นกลุ่มกลุ่มเรียกว่า Cone (โคน)  รูปไข่ สีน้ำตาล กว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาว 8 เซนติเมตร  มีเมล็ดจำนวนมาก
- เมล็ด เล็ก มีปีก

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด 
สภาพที่เหมาะสม - ดินร่วน ดินร่วนปนทราย  ขึ้นเป็นกลุ่มบนเขาหรือเนินเขา ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 – 1,600 เมตร
ประโยชน์ - ลำต้น ใช้ในการก่อสร้าง ทำเยื่อกระดาษ ยาง กลั่น เป็นน้ำมันและชันน้ำมัน ใช้ผสมยาทาถูนวดแก้ปวดเมื่อย ทำน้ำมันชักเงา ชัน ใช้ผสมยารักษาโรค 
ต้นไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ
ต้นลำดวน

ชื่อทั่วไป  -  ลำดวน
ชื่อสามัญ -  Devil Tree, White Cheesewood
ชื่อวิทยาศาสตร์  -  Melodorum fruticosum Lour.
วงศ์  - ANNONACEAE
จัดอยู่ในจำพวก -  พืชใบเลี้ยงคู่
ชื่ออื่นๆ - ลำดวน , หอมนวล
ถิ่นกำเนิด - ถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
-  ไม้ต้น สูง 18- 20 เมตร เรือนยอดรูปกรวย
-  ใบ เดี่ยว เรียงสลับในระนาบเดียวกัน แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก กว้าง 2.5 – 4 เซนติเมตร ยาว  5 –11.5 เซนติเมตร ปลายและโคนแหลม
-  ดอก สีนวล  กลิ่มหอม ออกเดี่ยวตามง่ามใบ กลีบดอกหนา ชั้นนอก 3 กลีบแผ่ออก ชั้นใน 3 กลีบหุบเข้าหากัน เมื่อบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี ออกมากช่วงเดือนตุลาคม
-  ผลสีเขียวอ่อน ยาว ปลายมน โคนผลแหลม ผิวเรียบเกลี้ยง

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง
สภาพที่เหมาะสม - ดินทุกชนิด เป็นไม้กลางแจ้ง
ประโยชน์ - ดอกมีกลิ่นหอม นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกแห้งปรุงเป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้ลมวิงเวียน  
ต้นไม้ประจำจังหวัดสกลนคร
ต้นอินทนิลน้ำ

ชื่อทั่วไป  -  อินทนิลน้ำ
ชื่อสามัญ -  Pride of India, Pyinma, Queen's crape Myrtle, Queen Flower, Queen-of-flower
ชื่อวิทยาศาสตร์  - Lagerstroemai speciosa (L.) Pers.
วงศ์  - ANNONACEAE
จัดอยู่ในจำพวก -  พืชใบเลี้ยงคู่
ชื่ออื่นๆ - อินทนิลน้ำ ตะแบกดำ ตะแบกอินเดีย อินทนิล บาเย ฉ่องมู,ฉ่วงมู , บางอบะซา , บาเอ บาเย

ถิ่นกำเนิด - ที่ราบลุ่มริมน้ำ ป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดิบทั่วไป

ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
- ต้น  เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-24 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมแผ่กว้าง เปลือกต้นค่อนข้างเรียบ มีรอยด่างเป็นดวงสีขาวเปวะตามต้น โตช้า
- ใบ ใบเดี่ยว เรียงตามข้ามเยื้องกันเล็กน้อย รูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 11-26 เซนติเมตร ปลายใบแหลมเป็นติ่งเล้กๆ โคนใบมน หรือกลม แผ่นใบหนา
- ดอก ดอกช่อ ช่อดอกตั้งออกที่ปลายกิ่งช่อดอกยาว 10-50 เซนติเมตร กลีบกลี้ยงเป็นรูปถ้วย กลีบดอกมี 6 กลีบ มีสีม่วง ม่วงปนชมพู ชมพู หรือ ขาว เส้นผ่าศูนย์กลางดอก 5-8 เซนติเมตร กลีบดอกบางยับย่น ขอบกลีบดอกย้วย เกสรตัวผู้มีจำนวนมากสีเหลือง ดอกออกราวมีนาคม- มิถุนายน
- ผล  ผลเป็นรูปไข่เกือบกลม ยาว 2-3 เซนติเมตร เปลือกเรียบแข็ง เมื่อแก่แตกตามยาว 6 พู   ผลแก่ ตุลาคม – ธันวาคม
- เมล็ด   มีจำนวนมาก สีน้ำตาล มีปีกบางโค้งทางด้านบนหนึ่งปีก

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง
สภาพที่เหมาะสม - ดินทุกชนิด เป็นไม้กลางแจ้ง  ขึ้นกระจายทั่วไป ตามที่ราบลุ่มริมน้ำในป่าเบญจพรรณชื้นและชายป่าดงดิบทั่วทุกภาคของไทย
ประโยชน์ - ไม้ ใช้ทำเสา เครื่องมือการเกษตร  ปลูกเป็นไม้ประดับ ใบ ต้มน้ำกินแก้ปัสสาวะขัด เบาหวาน  ใช้ใบอ่อนตากแดดแล้วชงเป็นชาลดความอ้วน 
ต้นไม้ประจำจังหวัดสุรินทร์
ต้นมะค่าแต้

ชื่อทั่วไป  -  มะค่าแต้
ชื่อสามัญ -  S. wallichii var. siamensis (Teijsm) Bak.
ชื่อวิทยาศาสตร์  -   Sindora siamensis Teijsm.ex Miq.
วงศ์  - Leguminosae (Caesalpiniaceae)
จัดอยู่ในจำพวก -  พืชใบเลี้ยงคู่
ชื่ออื่นๆ - แต้ มะค่าหนาม มะค่าหยุม  กรอก๊อส , กอเก๊าะ, ก้าเกาะ  กอกก้อ , แต้
ถิ่นกำเนิด -   ภูมิภาคอินโดจีน ถึงมาเลเซีย ตามป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณแล้ง
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
รูปร่างลักษณะ
-  ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 10-25 เมตร เปลือกสีเทาคล้ำ แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ เรือนยอดแผ่ทรงเจดีย์ ต่ำ
-  ใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน 3-4 คู่ แผ่นใบย่อยรูปรีถึงรูปไข่กลับ กว้าง 3-8 เซนติเมตรปลายและโคนมน ผิวใบด้านล่างมีขนสั้น
-  ดอก เล็ก สีเหลือง ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง  ออกดอก  มีนาคม-พฤษภาคม
-  ผล เป็นฝักรูปโล่ กว้าง 4-9 เซนติเมตร ผิวฝักมีหนามแหลมแข็ง เมื่อแก่แตก  ผลแก่ กรกฎาคม-กันยายน
-  เมล็ด มี 1-3 เมล็ด

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง
สภาพที่เหมาะสม - ดินทุกชนิด เป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง  ขึ้นกระจายในป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณแล้ง ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 100-500 เมตร
ประโยชน์ - เนื้อไม้ ค่อนข้างหยาบ แข็งแรง ทนทาน ทนมอดปลวกได้ดี แต่ไสกบตบแต่งยาก ใช้ก่อสร้างและเครื่องมือการเกษตร ไถ คราด และส่วนประกอบเกวียน ฝักและเปลือก ให้น้ำฝาดสำหรับฟอกหนัง 
ต้นไม้ประจำจังหวัดอำนาจเจริญ

ต้นตะเคียนหิน
 
 ชื่อทั่วไป  - ตะเคียนหิน

ชื่อวิทยาศาสตร์ 
-   Hopea ferea  Laness.


วงศ์  -   Dipterocarpaceae


ชื่ออื่นๆ -   ตะเคียนทราย  อีแรด   เหลาเตา , ตะเคียนหิน , ตะเคียนหนู  


ถิ่นกำเนิด
-  ป่าดิบแล้ง และขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ตามที่ลาดเชิงเขาที่มีการระบายน้ำดี


ประเภท
-  ไม้ยืนต้น


รูปร่างลักษณะ - ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15 – 30 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแก่ แตกเป็นสะเก็ด
โคนต้นมักมีพูพอนต่ำ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมหรือรูปกรวยแหลม กิ่งอ่อนมีขนประปราย

-  ใบ  ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่ กว้าง 2.5  - 3 เซนติเมตร

ยาว 8 - 8.5 เซนติเมตร   ปลายเป็นติ่งหู โคนมน

- ดอก เล็ก สีขาวหรือขาวปนเหลืองอ่อน ออกเป็นช่อสั้น ๆ ตามง่ามใบและปลายกิ่ง

ออกดอกระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม

- ผล โต ประมาณ 1.4 เซนติเมตร มีปีกยาว 3 ปีก  ผลแก่ ตุลาคม – มกราคม

 
การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด  

สภาพที่เหมาะสม
- เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินแทบทุกชนิด ระบายน้ำได้ดี ต้องการ

ความชื้นปานกลาง  เป็นไม้กลางแจ้ง  เป็นพันธุ์ไม้หลักของป่าดิบแล้ง ที่สูงจากระดับ
น้ำทะเล 100 – 400 เมตร เป็นไม้เบิกนำ

ประโยชน์
-  ไม้ ใช้ทำเครื่องเรือน ต่อเรือขุด ทนทานและแข็งแรงมากในกลางแจ้ง


-   ดอก ใช้เข้ายาเป็นเกสรร้อยแปด


-   ต้มน้ำจากเปลือก ใช้ล้างแผล ผสมกับเกลืออมป้องกันฟันผุ


-   เนื้อไม้ ใช้เป็นส่วนประกอบทำยารักษาโรค เลือดลมไม่ปกติ แก้กระษัย 
ต้นไม้ประจำจังหวัดอุดรธานี ต้นทองกวาว
 
   
 
ชื่อทั่วไป  - ทองกวาว
 


ชื่อสามัญ -  Flam of the forest

ชื่อวิทยาศาสตร์ 
-   Butea frondosa Roxb.


วงศ์  -   LEGUMINOSAE


ชื่ออื่นๆ - กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ) , จอมทอง (ภาคใต้) , ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ

ทองต้น (ภาคกลาง ), จาน (ภาคอีสาน) , จ้า (เขมร)

ถิ่นกำเนิด -  ประเทศไทยและอินเดีย


ประเภท -  ไม้ยืนต้น


รูปร่างลักษณะ  - เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 25 - 50 ฟุต ลำต้นคดไปมา

มีกิ่งก้านสาขาไม่มากนัก

- ใบ เป็นพุ่มโปร่ง ใบหนามีสีเขียว รูปใบมนเกือบกลม


- ดอก  ออกดอกตามยอดกิ่ง เป็นช่อคล้ายดอกถั่วหรือดอกแค มีสีแดงหรือสีแสด

เมื่อออกดอกมักจะผลัดใบ  ออกปีละหนึ่งครั้งในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์
 
การขยายพันธุ์  -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด  และการตอนกิ่ง

 
สภาพที่เหมาะสม - เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินร่วนหรือดินปนทราย ต้องการน้ำและ
ความชื้นปานกลาง  แสงแดดจัด  ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนต่อโรค
พอสมควร
 
ประโยชน์ - ใช้เนื้อไม้ทำกระดานกรุบ่อน้ำหรือทำเรือขุด หรือเรือโปงใช้ชั่วคราว
ใช้กั้นบ่อน้ำ ร่องน้ำ และทำกังหันน้ำ

-  เส้นใยจากเปลือกใช้ทำเชือก


-  ดอก  ส่วนดอกสีแดงหรือสีแสดใช้ย้อมผ้า


-  ดอกรับประทานถอนพิษได้ แก้ไข้ ขับปัสสาวะ ลดความกำหนัด ขับพยาธิ ใช้หยอดตา

แก้ตาแดง ปวดเคืองตา ตาแฉะ ตามัว

- ใบ  ใบสดใช้ห่อของ ใช้ตากมะม่วงกวน


- ใบใช้ตำพอกแก้ฝีและสิว ถอนพิษ แก้ปวด แก้ท้องขึ้น แก้ริดสีดวง ขับพยาธิ


- ยาง ใช้รับประทานแก้ท้องร่วง เลือดออกในกระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ขับพยาธิ

- เมล็ด เมล็ดบดให้ละเอียดผสมน้ำมะนาวใช้ทาแก้ผิวหนังเป็นผื่นแดง อักเสบ

คันและแสบร้อน

- ราก รากประคบบริเวณที่เป็นตะคริว ขับพยาธิ

ต้นไม้ประจำจังหวัดอุบลราชธานี
ต้นยางนา
 
 
 
ชื่อทั่วไป  - ยางนา

ชื่อสามัญ
-  Yang


ชื่อวิทยาศาสตร์
  -   Dipterocarpus alatus  Roxb.ex G.Don


วงศ์
  -   Dipterocarpaceae


ชื่ออื่นๆ
-  ยาง , ยางขาว ,  ยางแม่น้ำ , ยางหยวก , ยางนา , ยางกุง , ยางควาย ,

ยางเนิน ,ราลอย , ลอยด์ กาตีล , ขะยาง , เคาะ , จะเตียล , ชันนา ยางตัง , ทองหลัก

ถิ่นกำเนิด
-  ป่าดงดิบ และตามที่ต่ำชุ่มชื้นใกล้แม่น้ำลำธารทั่วไป


ประเภท -  ไม้ยืนต้น


รูปร่างลักษณะ
- ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 30 – 40 เมตร เปลือกหนาเรียบ สีเทาปนขาว

โคนมักเป็นพู
 
-  ใบ เดียว เรียงสลับแผ่นใบรูปไข่แกมรูปใบหอก กว้าง 8 – 15 เซนติเมตร
ยาว 20 – 35 เซนติเมตร หูใบหุ้มยอดอ่อน มีขนสีน้ำตาล

-  ดอก สีชมพู ออกเป็นช่อสั้น ๆ ตามง่ามใบตอนปลายกิ่ง

ออกดอกมีนาคม – พฤษภาคม

-  ผล   เป็นผล เมษายน – มิถุนายน   ผลเป็นผลแห้งทรงกลม มีครีบตามยาว 5 ครีบ

ปีกยาว 2 ปีก  ปีกสั้น 3   ปี
 
 
การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด

 
สภาพที่เหมาะสม - เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินแทบทุกชนิด เป็นไม้กลางแจ้ง  
ขึ้นเป็นหมู่ในป่าดิบ  และตามที่ราบชุ่มชื้นใกล้แม่น้ำลำธารทั่วไป ที่สูงจากระดับน้ำทะเล
200 – 600 เมตร
 

ประโยชน์
- ลำต้น ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน เมื่ออาบน้ำยาถูกต้องจะทนทานขึ้น

 
-  น้ำมัน ใช้ทาไม้ยาแนวเรือ  ใช้เติมเครื่องยนต์แทนน้ำมันขี้โล้ ทำน้ำมันใส่แผล
แก้โรคเรื้อน 
ต้นไม้ประจำจังหวัดหนองคาย ต้นชิงชัน
 



ชื่อทั่วไป  -    ชิงชัน
 



ชื่อสามัญ -  Rosewood 
 
ชื่อวิทยาศาสตร์  -   Dalbergia oliveri   Gamble & Prain
 
วงศ์  -   LEGUMINOSAE
 
ชื่ออื่นๆ -  ชิงชัน ประดู่ชิงชัน (ภาคกลาง), ดู่สะแดน (เหนือ)
 
ถิ่นกำเนิด - ป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณทั่วไป ยกเว้นภาคใต้



ประเภท -  ไม้ยืนต้น

 
รูปร่างลักษณะ - ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15 – 25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลอมเทา
ล่อนเป็นแว่น ๆ
 
-  ใบ ประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ใบย่อย 11 –17 ใบ เรียงสลับบนแกนกลาง  แผ่นใบ
ย่อยรูปรีแกมรูปไข่ปลายคี่ กว้าง  1 – 4 เซนติเมตร  ยาว  4 – 8 เซนติเมตร  โคนและ
ปลายมน ผิวใบด้านล่างสีจางกว่าด้านบน

- ดอก  เป็นดอกเล็ก สีขาวแกมม่วง ออกดอก  มีนาคม – พฤษภาคม

 
- ผล เป็นฝักแบน ๆ รูปหอกหัวท้ายแหลม กว้าง 3 – 3.5 เซนติเมตร
 ยาว 8 – 17 เซนติเมตร
 
- เมล็ด อยู่ในแต่ละฝัก ฝักแก่ พฤษภาคม – กันยายน
 
 
การขยายพันธุ์  -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด 
 
สภาพที่เหมาะสม - ดินทุกชนิด เป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำปานกลาง  ขึ้นอยู่ตามป่า
ดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณทั่วไป เว้นภาคใต้ สูงจากระดับน้ำทะเล 100 – 500 เมตร
 
ประโยชน์ - เนื้อไม้ แข็ง เหนียว มีความทนทานมาก ใช้ทำเครื่องเรือน ส่วนประกอบ
เกวียน พานท้ายปืน เครื่องดนตรี เช่น ขลุ่ย ซอ จะเข้ ลูกระนาด กลอง  โทน  รำมะนา
กรับ ขาฆ้องวง
ต้นไม้ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู ต้นพะยูง
 
 
ชื่อทั่วไป  -    พะยูง
 

ชื่อสามัญ -  Siamese Rosewood


ชื่อวิทยาศาสตร์
  -   Dalbergia cochinchinensis  Pierre


วงศ์  -   DIPTEROCARPACEAE

 
ชื่ออื่นๆ -  ขะยุง , แดงจีน , ประดู่เสน ,กระยง กระยูง , ประดู่ตม , ประดู่ลาย , 
พะยูงไหม
 
ถิ่นกำเนิด - ป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณชื้น ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ
ภาคตะวันออก
 
ประเภท -  ไม้ยืนต้น
 
รูปร่างลักษณะ - ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15 – 25 เมตร  เปลือกสีเทาเรียบ เรือนยอดทรงกลม

หรือรูปไข่

-  ใบ ประกอบแบบขนนก ปลายคี่ เรียงสลับ ใบย่อยเรียงสบับบนแกนกลาง 7 – 9 ใบ

กว้าง 3 – 4 เซนติเมตร ยาว 4 – 7  เซนติเมตร ปลายแหลม  โคนสอบ ด้านบนสีเขียว
เข้ม ด้านล่างสีจาง

-  ดอก เล็ก สีขาว กลิ่นหอมอ่อน ออกเป็นช่อตามง่ามใบและตามปลายกิ่ง ออกดอก

  พฤษภาคม – กรกฏาคม ฝักแก่ กรกฏาคม – กันยายน

-  ผล  เป็นฝัก รูปขอบขนานแบน บาง กว้าง 1.2 เซนติเมตร ยาว 4 – 6 เซนติเมตร


-  เมล็ด มี  1 – 4 เมล็ดเมล็ดรูปไตสีน้ำตาลเข้ม

 

การขยายพันธุ์ -  ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด

 
สภาพที่เหมาะสม - ดินทุกชนิด ทนแล้ง  ขึ้นได้ในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณชื้น
ทั่ว ๆ ไป   โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก
 
ประโยชน์ - เนื้อไม้ละเอียด แข็งแรง ทน ขัดและชักเงาได้ดี  ใช้ทำเครื่องเรือน เกวียน
เครื่องกลึง  แกะสลัก  ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด


ที่มา http://www.thaigoodview.com/node/8229

 
 









 

 
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

Blogroll

About